NVIDIA GeForce GTX TITAN Z: การ์ดสุดแกร่ง คุณภาพแน่นอก!

head

บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร Future Gamer ฉบับที่ 214 ประจำเดือนสิงหาคม 2557

ที่ผ่านมา NVIDIA ได้แนะนำให้เรารู้จักกับการ์ดกราฟิกคุณภาพระดับยักษ์อย่าง GeForce GTX TITAN และ GeForce GTX TITAN Black กันไปแล้ว ซึ่งทั้งคู่ก็นับเป็นการ์ดคุณภาพคับแก้วที่นำมาใช้เล่นเกมกราฟิกโหดๆ ความละเอียดสูงๆ ได้อย่างสบาย จนกระทั่งคู่ปรับตลอดกาล AMD ได้ฤกษ์ปล่อยการ์ด Radeon R9 295X2 ซึ่งเป็นการ์ดที่มีชิพกราฟิกคู่พร้อมชุดระบายความร้อนด้วยของเหลวออกสู่ตลาด ก็เลยอาจทำให้บัลลังก์ของยักษ์ TITAN สั่นคลอนไปบ้าง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียหน้า NVIDIA จึงได้ปล่อยการ์ดกราฟิก GeForce GTX TITAN Z ซึ่งเป็นการ์ดกราฟิกชิพคู่เช่นเดียวกันมาทวงศักดิ์ศรีความเป็นผู้นำกลับคืนมา

ความแรงเหนือระดับ

เป็นที่ทราบอย่างดีว่าการ์ดกราฟิก GeForce GTX TITAN ทั้งสองตัวคือหนึ่งในการ์ดเพียงไม่กี่รุ่นในปัจจุบันที่สามารถรันเกมใหม่ๆ ที่ความละเอียด 3840×2160 พิกเซล หรือ 4K พร้อมกับเปิดรายละเอียดกราฟิกสูงสุดได้อย่างไหลลื่น ส่วนการ์ดรุ่นรองลงไปนั้นต้องอาศัยการต่อพ่วงกันการ์ดรุ่นเดียวกันโดยใช้ SLI แทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ด้วยปริมาณ CUDA Cores ที่มากมายมหาศาล เราจึงเห็นการ์ดดังกล่าวถูกนำไปใช้ในการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองต่างๆ ด้วย

ตัวการ์ดเมื่อแยกร่างแบบเท่ๆ นี่จะกลายเป็น Transformers ไหมเนี่ย!?
ตัวการ์ดเมื่อแยกร่างแบบเท่ๆ นี่จะกลายเป็น Transformers ไหมเนี่ย!?

NVIDIA ยังคงคุณสมบัติดังกล่าวไว้ภายใน GeForce GTX TITAN Z อย่างครบถ้วน มิหนำซ้ำได้มีการอัดความแรงเพิ่มเข้าไปอีก โดยภายในการ์ดประกอบด้วยหน่วยความจำมากถึง 12GB ที่ความกว้างบัส 7Gbps ซึ่งอาจนับได้ว่าเยอะที่สุดเท่าที่เคยมีการอัดใส่การ์ดกราฟิกมาเลยทีเดียว ส่วนประมาณ CUDA Cores ก็มีมาให้มากถึง 5,760 ตัว ที่มากขนาดนี้ก็เพราะมาพร้อมกับจีพียู GK110 ถึง 2 ตัวนั่นเอง ทำให้เกมเมอร์สามารถเอ็นจอยกับกราฟิกภายในเกมที่มีความสวยงามภายใต้ความละเอียดระดับ 4K ได้สบายไหลลื่นโดยที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองสล็อต PCIe ถึง 2 ช่องให้วุ่นวาย

งานออกแบบที่เหนือชั้น

ไม่มีใครปฏิเสธความแรงของการ์ด AMD Radeon R9 295X2 ไปได้ แต่ด้วยประสิทธิภาพขนาดนั้นก็ต้องแลกมาด้วยความยุ่งยากในการติดตั้งเล็กน้อย เพราะว่าตัวการ์ดพ่วงมากับชุดระบายความร้อนด้วยของเหลวชนิดบังคับใช้ถ้าไม่อยากเห็นการ์ดควันขึ้น (ฮา!) แต่ NVIDIA คงมีความเห็นตรงข้ามด้วยคิดว่าอย่างไรเสียการระบายความร้อนด้วยพัดลมยังคงสามารถมอบความสะดวกให้กับผู้ใช้ได้มากกว่าอยู่ดี

กรอบภายนอกที่เห็นสีเงินคืออะลูมิเนียมทั้งก้อนนะครับ
กรอบภายนอกที่เห็นสีเงินคืออะลูมิเนียมทั้งก้อนนะครับ

ด้วยเหตุที่ GeForce GTX TITAN Z คือการ์ดชิพคู่ ความร้อนที่เกิดขึ้นขณะทำงานย่อมต้องมากกว่าปกติ วิศวกรของ NVIDIA จึงได้ออกแบบชุดระบายความร้อนใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มจากภายนอกที่ทำมาจากอะลูมิเนียมทั้งชิ้น ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวการ์ดและช่วยในการระบายลมร้อนอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้พัดลมระบายความร้อนตรงกลางก็ไม่ใช่รุ่นธรรมดา เพราะ NVIDIA กล่าวว่าได้ออกแบบให้มีความหนากว่ารุ่นที่ใช้ใน TITAN Black ถึงร้อยละ 40 ช่วยเพิ่มความเย็นให้กับตัวการ์ดได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังทำงานโดยปราศจากเสียงรบกวน ส่วนภายใต้พัดลมก็มีแผงระบายความร้อนที่ทำมาจากอะลูมิเนียมซึ่งถูกโปะอยู่เหนือแรมอีกทีหนึ่ง เห็นได้ว่าการระบายความร้อนของการ์ดนี้เป็นไปอย่างครบวงจรจริงๆ

ข้างในคือชิพ GK110 คู่ ส่วนที่เรืองแสงคือแรมที่มีมาให้ 12GB
ข้างในคือชิพ GK110 คู่ ส่วนที่เรืองแสงคือแรมที่มีมาให้ 12GB

ด้านข้างของพัดลมประกอบไปด้วยแผงระบายความร้อนคู่ซึ่งวางไว้เหนือจีพียูพอดี โดย NVIDIA กล่าวว่าเจ้าแผงที่ว่ามีขนาดใหญ่กว่าที่ใช้ใน GeForce GTX TITAN Black ถึงร้อยละ 60 ทำให้สามารถดึงความร้อนออกจากชิ้นส่วนภายในไปสูงกรอบอะลูมิเนียมภายนอกได้เร็วยิ่งกว่า และเมื่อพลิกไปด้านหลังก็จะพบว่าตัวการ์ดต้องการพื้นที่ติดตั้งถึง 3 สล๊อต ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะต้องเผื่อพื้นที่สำหรับช่องระบายลมร้อนที่ต้องมีมากกว่าปกตินั่นเอง

ประสิทธิภาพที่เหนือชั้น

แน่นอนว่าขึ้นชื่อเป็นการ์ดรุ่นท็อปที่สุดในสามโลกแบบนี้หลายคนคงอยากทราบถึงประสิทธิภาพกันอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากเพื่อนๆ คงไม่สามารถหาซื้อการ์ดตัวนี้มาเป็นเจ้าของง่ายๆ (เพราะอะไรผมจะเฉลยให้ฟังในตอนท้ายครับ) ผมจึงไปควานหาผลการทดสอบจากเว็บไซต์ต่างประเทศที่โชคดีได้รับการ์ดสุดแรงตัวนี้ไปทดสอบเพื่อนำผลมาบอกเล่าประสิทธิภาพให้ได้ยลกัน

เว็บไซต์ที่ผมนำผลการทดสอบมาอ้างอิงคือ Guru3D ซึ่งนับว่าเป็นเว็บหัวแถวที่อยู่คู่วงการพีซีฮาร์ดแวร์มานาน โดยจากการทดสอบร่วมกับโปรแกรม 3DMark 2013 Fire Strike พบว่าตัวการ์ดสามารถทำคะแนนไปได้ราว 14000 แต้ม ส่วนกับโปรแกรม 3DMark 11 ที่โหมด Performance ก็พบว่าตัวการ์ดสามารถทำคะแนนไปได้ราว 18900 แต้ม คะแนนทะลุเกินหมื่นทั้งคู่แบบนี้ไม่ต้องห่วงถึงประสิทธิภาพเมื่อเล่นกับเกมใหม่ๆ เลย

มาถึงการทดสอบกับการเล่นเกมจริงกันบ้าง เริ่มจากเกม Thief (1080p, DX11, Very High Quality) ซึ่งผลการทดสอบพบว่าเฟรมเรทเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 84 FPS ส่วนที่ความละเอียด 3840×2160 (4K) จะอยู่ที่ราว 40 FPS ต่อมาที่เกม Crysis 3 (1080p, Very High Quality, FXAA) โดยผลการทดสอบพบว่าได้เฟรมเรทเฉลี่ยที่ 95 FPS ส่วนภายใต้ความละเอียด 4K จะอยู่ที่ราว 35 FPS ต่อมาที่เกม Watch Dogs (1080p, High Quality, High Tx, FXAA) ซึ่งผลการทดสอบพบว่าได้เฟรมเรทเฉลี่ย 79 FPS ส่วนที่ความละเอียด 4K จะอยู่ที่ 44 FPS

ต่อมาที่การทดสอบอุณหภูมิ โดยจากการวัดพบว่าขณะ idle ตัวการ์ดมีอุณหภูมิอยู่ที่ราว 35 องศาเซลเซียส ส่วนที่ Full Load อยู่ประมาณ 83 องศา แม้จะดูมากไปสักนัด แต่ต้องไม่ลืมว่าการ์ดตัวนี้เป็นชิพคู่ ดังนั้นความร้อนที่เกิดขึ้นก็อาจมากเกินกว่าปกติเป็นของธรรมดา

สรุป

แรงแบบไร้เทียมทาน
แรงแบบไร้เทียมทาน

จากการทดสอบประสิทธิภาพก็สามารถสรุปได้ว่า GeForce GTX TITAN Z คือหนึ่งในการ์ดกราฟิกที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในเวลานี้ เพราะสามารถทำคะแนนทุกการทดสอบได้ในระดับหัวแถวไม่ว่าเกมหรือโปรแกรมที่ใช้ในการทดสอบจะโหดร้ายสักเพียงไหน

หลายคนอาจตั้งคำถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่จะหาซื้อมาเป็นเจ้าของ? แต่ผมว่าคำถามที่น่าสนใจกว่าก็คือเราจะสามารถหาซื้อมาเป็นเจ้าของได้อย่างไรมากกว่า เพราะทราบหรือไม่ว่าการ์ดตัวนี้มีราคาค่าตัวสูงถึง 3000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 96,000 บาท) ใช่แล้วครับ ท่านผู้อ่านไม่ได้ตาฝาดไปหรอก ราคาของมันสูงมากถึงขนาดนั้นจริงๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมบอกไปในตอนต้นบทความว่าเราคงไม่สามารถหาซื้อมาใช้งานได้ง่ายๆ

ตามปกติแล้ว การ์ดกราฟิกที่มีราคาสูงมากถึงขนาดนี้มักเป็นการ์ดในตระกูล Quadro หรือ Tesla ซึ่งเป็นซีรีส์การ์ดกราฟิกที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้งานในระดับมืออาชีพหรือภายในองค์กรที่ต้องอาศัยการเรนเดอร์ภาพกราฟิกความละเอียดสูงๆ เช่น การออกแบบรถยนต์ การประมวลผลโดยใช้จีพียู (GPGPU) การใช้งานร่วมกับเซิร์ฟเวอร์หรือเวิร์คสเตชัน เป็นต้น การ์ดในซีรีส์นี้มักนำมาใช้เล่นเกมไม่ค่อยดีนัก (หรืออาจจะไม่ได้เลยด้วยซ้ำ) เพราะไดรเวอร์ไม่ได้รับการปรับแต่งมาเพื่อใช้งานลักษณะดังกล่าว

มาถึงตรงนี้ผมกำลังมองว่า NVIDIA พยายามผสมผสานความสามารถของการ์ดสำหรับผู้บริโภค (GeForce) เข้ากันกับการ์ดสำหรับองค์กร (Quadro, Tesla) เป้าหมายก็คือเพื่อให้ได้มาซึ่งการ์ดอเนกประสงค์ที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งเล่นเกมหรืองานเรนเดอร์กราฟิกระดับเทพ โดยจะต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อยและประหยัดพลังงาน จะว่าไปการ์ดตัวนี้นับว่าประสบความสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าหากจะนำมาใช้เล่นเกมอย่างเดียวนั้นผมยังทำใจไม่ได้กับราคาที่แพงเหลือเกิน เพราะรุ่นที่เป็นคู่แข่งอย่าง AMD Radeon R9 295X2 ยังมีราคาถูกกว่าครึ่ง แถมประสิทธิภาพการเล่นเกมก็ยังไม่หนีห่างจากกันมากนัก ส่วนใครที่เป็นสาวกค่ายเขียวก็สามารถนำการ์ด GeForce GTX 780 Ti 2 ตัวมาต่อ SLI ก็ยังได้ความแรงที่พอฟัดพอเหวี่ยง หรืออาจจะไปเล่น TITAN Black ก็ยังได้ต้นทุนที่ถูกกว่าเช่นกัน ดังนั้นหากบ้านใครไม่ได้เปิดเซิร์ฟเวอร์ก็ขอให้พิจารณาตัวเลือกที่ถูกกว่าจะดีต่อประชากรเงินในกระเป๋าเป็นแน่แท้ครับ

ใส่ความเห็น